เด็กคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

เด็กคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

์

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

ความชูใจของเรา

ความชูใจของเรา

( 2 โครินธ์ 1:1 – 24 )

 

1             เปาโล  ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า  และทิโมธีน้องของเรา 

เรียน  คริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์  และบรรดาธรรมิกชนที่อยู่ทั่วแคว้นอาคายา

2             ขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระบิดาเจ้าของเรา และจากพระเยซูคริสตเจ้า จงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด

3             สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงความเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง

4             พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ  ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า

5             เพราะว่าเรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากฉันนั้น

6             ที่เราทนความทุกข์ยากนั้น  ก็เพื่อให้ท่านได้ความชูใจและความรอด และที่เราได้รับความชูใจ ก็เพื่อให้ท่านได้รับความชูใจด้วย  ซึ่งท่านจะได้รับเมื่อเพียรสู้ทนความทุกข์เหมือนอย่างเราได้ทนนั้น

7             เราจึงมีความหวังแน่นอนในท่านทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่าท่านทั้งหลายได้มีส่วนในความทุกข์ยากของเราฉันใด  ท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในความชูใจของเราฉันนั้น

 

1. แหล่งแห่งความชูใจ (1-4)

. ความหมายของ ความชูใจ

คำว่า ชูใจ ปรากฏ 9 ครั้งใน 2 โครินธ์ 1:3-7 ในพจนานุกรม ( Webster’s Dictionary )ให้ความหมาย  ชูใจ ” ( comfort ) ไว้ว่า การสนับสนุน การเล้าโลม การเสริมกำลังเรี่ยวแรง   คำว่า ชูใจ มาจากคำในภาษาลาตินซึ่งหมายถึง เสริมกำลังอย่างมากมาย เมื่อเราพิจารณาคำในภาษากรีกซึ่งเปาโลใช้นั้น ทำให้เราได้ความหมายในพันธสัญญาใหม่ที่สมบูรณ์  พารา “ Para ” หมายถึง ข้าง และ คาเลโอ ( Kaleo ) หมายถึง การเรียก ดังนั้นคำว่าพาราคาเลโอ ” ( Parakaleo ) หมายถึง การเรียกมาอยู่เคียงข้าง และยังมีความหมายในสิ่งที่คนนั้นกระทำ ซึ่งเรียกคนนั้นว่า ถูกเรียกมาอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยเหลือ หรือแปลว่า ให้การชูใจ

เมื่อ พาราเคลซิส ” ( paraklesis ) หมายถึง การชูใจ การเล้าโลม การหนุนใจ ฉะนั้นคนที่ถูกเรียกให้ช่วยเหลือเรียกว่า พาราเคลทอส ” ( Parakletos ) หมายถึง ผู้ชูใจ  ผู้เล้าโลม  ผู้ช่วย ” ( ทนายความที่แก้คดี  )

พระเยซูคริสต์ทรงใช้คำนี้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในยอห์นบทที่ 14 พระองค์ทรงเสด็จมาช่วยเหลือพวกเราตามคำร้องทูล และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราเพื่อเสริมกำลังเรี่ยวแรงเรา ให้คำปรึกษาเรา และวิงวอนให้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง พระองค์ทรงเล้าโลมเราเมื่อเราเศร้าโศกเสียใจ เมื่อพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราพระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำงานผ่านเรา เพื่อให้คนอื่นได้รับความชูใจเดียวกันนี้เหมือนอย่างที่เราได้รับจากพระองค์ (ยอห์น 14:16-17, 26; 2 โครินธ์ 1:3-5 ) ตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้คือเมื่อเปาโลหนุนใจผู้ร่วมเดินทางบนเรือในท่ามกลางพายุ เปาโลหนุนใจพวกเขาได้เพราะว่า ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้หนุนใจเปาโล ( กิจการ 27:21-26 )

ฉะนั้น การชูใจ มีความหมายมากไปกว่าการแสดงความสงสาร หรือคำพูดที่เล้าโลมปลอบใจผู้ที่อยู่ในความความทุกข์โศกเศร้าเสียใจ แต่รวมถึงการเสริมกำลังเรี่ยวแรงและการให้การสนับสนุนคนที่ต้องการคำพูดที่อ่อนสุภาพ เป็นการอยู่เคียงข้างด้วยความรัก แสดงความเห็นอกเห็นใจ และมีคำพูดแห่งการหนุนน้ำใจ เราทราบถึงแหล่งที่มาแห่งการชูใจคือ พระบิดาผู้ทรงเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง  ” ( 2  โครินธ์ 1:3 ) พระองค์ทรงยืนอยู่เคียงข้างเราเพื่อเสริมกำลังเรี่ยวแรงให้กับเราอย่างมากมาย

. พระเจ้าคือแหล่งแห่งความชูใจทั้งสิ้น (3)

พระลักษณะ 2 ประการของพระเจ้าแห่งความชูใจของเรา

1)            เป็นพระบิดาผู้ทรงเมตตา

3             สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงความเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง

พระองค์สำแดงกับเราในฐานะที่ทรงเป็น พระบิดาของเรา แต่อาจจะมีบิดาบางคนที่เป็นบิดาจริง แต่ไม่ได้ป็นผู้ที่ให้ความชูใจกับบุตรของตน แต่พระเจ้าไม่ได้เป็นบิดาเช่นนั้น พระองค์เป็นบิดาที่ เมตตาพระองค์ทรงสนใจชีวิตของเรา เข้าใจความทุกข์ของเรา ไม่เคยทอดทิ้งเรา อยู่เคียงข้างเราเสมอในทุกเวลา ทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์

คำถาม : ทำไม่คนจำนวนมากจึงฆ่าตัวตาย?

คำตอบ : เขาอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเข้าใจเขา (ไม่รู้จักคนที่เข้าใจและให้ความเมตตากับเขา)

2)            เป็นพระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง

แท้จริงในชีวิตของเรามักจะไม่เลวร้ายซะเลยทีเดียว เรายังคงมีใครบางคนที่สามารถเข้าใจและให้กำลังใจเราได้ในบางเวลา ในบางเรื่อง ในบางโอกาส และในบางสถานการณ์ แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเรายังมีความต้องการมากกว่านั้น

ตัวอย่าง : น้องคนหนึ่งเข้ามาศึกษาในกรุงเทพ ปีที่ 1 เขารู้สึกว้าเหว่ ขาดคนที่ให้กำลังใจ ในที่สุดก็ได้พบกับชายหนุ่มที่สนใจเขา เอาใจใส่เขาเสมอ เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น เขารู้สึกว่าเขาได้พบกับพระเอกขี่ม้าขาวที่มาในเวลาที่เขาต้องการ ความสัมพันธ์จึงลึกซึ้งเลยเถิด จนกระทั่งพลาดพลั้งมีลูกด้วยกัน 1 ปีผ่านไป ชายที่เป็นพ่อพระ ค่อย ๆ เปิดเผยตัวจริงออกมา ทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำแย่ยิ่งกว่าตอนที่ไม่ได้พบกับชายคนนี้มาก

ทุกอย่าง : หมายความว่า ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทุกเวลา ทุกกรณี ทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์เรามีพระเจ้าที่เข้าใจเราอย่างไม่รู้จักจบสิ้น อะไรที่สามารถทำให้เราได้รับความชูใจ พระองค์ก็จะทำ เราไม่ต้องมีความวิตกกังวลใด ๆ ทั้งสิ้นว่าพระเจ้าจะไม่ช่วยเรา พระองค์พร้อมเสมอสำหรับเรา

. คนของพระเจ้าคือถ่ายทอดความชูใจ (4)

4             พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ  ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า

                ตัวอย่าง : สำนวนหนึ่งที่ถูกยกเป็นสโลแกนของพันธกิจร่มเย็นคือ

ปราศจากพระเจ้า เราทำอะไรไม่ได้ ปราศจากเรา พระเจ้าไม่ทำอะไร

แม้สำนวนนี้จะไม่ถูกต้องทั้งหมดตามหลักศาสนศาสตร์ แต่ก็ทำให้เราเห็นความจำเป็นของ คนที่ยอมให้พระเจ้าใช้ แท้จริงแล้ว ปราศจากเราพระเจ้าก็ทำได้ แต่เป็นพระคุณที่พระองค์ทรงใช้เราให้ทำการของพระองค์

แน่นอนว่า ความชูใจที่เราต้องการนั้น 100% มาจากพระเจ้า แต่พระองค์อาจจะไม่ค่อยได้ส่งมาถึงเราโดยทั้ง 100% ดังนั้นในชีวิตจริงเรามักจะพบว่า ความชูใจของเราอาจจะมาจากหลาย ๆ ทาง เช่น

-                   พระวจนะของพระเจ้า

-                   ผู้รับใช้พระเจ้า

-                   พี่น้องคริสเตียน / เพื่อน / ญาติมิตรของเรา

-                   นิมิต / ความฝัน / เสียงของพระวิญญาณ

-                   เหตุการณ์ / การอัศจรรย์

ดังนั้น เปาโลจึงได้ตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้ ท่านรู้ว่าการทนทุกข์ยากลำบากของท่าน นำไปสู่ความชูใจของพระเจ้า เมื่อท่านได้รับความชูใจ ท่านก็สามารถนำเอาประสบการณ์แห่งความชูใจนั้นไปให้กับผู้อื่นได้

ตัวอย่าง : นักเทศน์มีความสุข สมาชิกก็มีความสุข / พ่อแม่มีความสุข คนในครอบครัวก็มีความสุข / ครูมีความสุข นักเรียนก็มีความสุข / คนขับรถมีความสุข ผู้โดยสารก็มีความสุข ถ้าตรงกันข้ามจะเกิดอะไรขึ้น ??????

อย่าลืมว่า ความชูใจที่พระเจ้าให้กับเรา ต้องไม่จบลงที่เรา จงสืบสานถ่ายทอดไปสู่คนอื่น ๆ ต่อไป พระเจ้าต้องการที่จะใช้เราทุกคนเป็นสื่อแห่งความชูใจของพระเจ้าให้กับพี่น้องที่อยู่ในความทุกข์ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ โลกจะน่าอยู่ พระเจ้าก็สามารถทำการของพระองค์ผ่านเราได้เต็มที่

จะเกิดอะไรขึ้น : เมื่อคริสเตียนทุกคนเรียนรู้ที่จะแสวงหาความชูใจจากพระเจ้าในชีวิตของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะสืบทอดความชูใจนี้ไปสู่พี่น้องของเรา ซึ่งก็จะปรากฏภาพของการแบ่งปันความชูใจให้แก่กันและกัน ในที่สุดเราคริสเตียนก็แบ่งปันความชูใจนั้นไปสู่ญาติมิตรที่ยังไม่เชื่อต่อ ๆ ไป พวกเขาก็จะสามารถสัมผัสได้ว่า คริสเตียนคือกลุ่มคนที่มีความสุข และนำความสุขสู่สังคม เขาจะรู้สึกเป็นสุขเมื่ออยู่ใกล้คริสเตียน เขาจะชื่นชมยินดีกับพระเจ้าที่เราเชื่อ

 

2. จุดประสงค์แห่งความชูใจ (5-7)

5             เพราะว่าเรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากฉันนั้น

6             ที่เราทนความทุกข์ยากนั้น  ก็เพื่อให้ท่านได้ความชูใจและความรอด และที่เราได้รับความชูใจ ก็เพื่อให้ท่านได้รับความชูใจด้วย  ซึ่งท่านจะได้รับเมื่อเพียรสู้ทนความทุกข์เหมือนอย่างเราได้ทนนั้น

7             เราจึงมีความหวังแน่นอนในท่านทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่าท่านทั้งหลายได้มีส่วนในความทุกข์ยากของเราฉันใด  ท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในความชูใจของเราฉันนั้น

. เพื่อให้มีความอดทนในการทนทุกข์กับพระคริสต์ (5)

การที่เราจะมีความอดทนและสามารถใช้ชีวิตในสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบากได้อย่างตลอดรอดฝั่งนั้น สิ่งสำคัญก็คือ กำลังใจ หรือจะเรียกให้ลึกซึ้งไปกว่านั้นก็คือ ความชูใจ

                ตัวอย่าง : ผู้เชื่อชาวโครินธ์บางคนได้วิจารณ์เปาโล ท่านเขียนจดหมายฉบับนี้เมื่อแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น ( 2 โครินธ์ 1:12-14 ) เมื่อเปาโลเปลี่ยนแผนการเดินทางของท่าน จึงทำให้ท่านได้รับคำกล่าวร้ายดังนี้ เราไม่สามารถพึ่งในเปาโล ท่านไม่ได้รักษาคำมั่นสัญญาของท่าน ท่านไม่มีความจริงใจ ท่านเป็นคนขี้ขลาด ท่านกลัวที่จะเดินทางกลับมา ท่านมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

พระสัญญาและการทรงสถิตของพระเจ้าเป็นแหล่งสำคัญแห่งความชูใจและพละกำลังของพวกเรา พระองค์ทรงตรัสว่า เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย ” ( ฮีบรู 13:5 )

เราสามารถที่จะเห็นคุณค่าในความหมายของคำว่า  อิมมานูเอล ” ( Immanuel ) พระเจ้าทรงสถิตกับเรา พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองให้กับอับราฮัม โมเสส เอลียาห์ และบุคคลสำคัญในพันธสัญญาเดิม พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงอยู่ท่ามกลางเรา ….” ( ยอห์น 1:14 ) และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสต์ (  พระวาทะ ) เป็นเหตุให้พระบิดาสั่งผู้ช่วย ( พระวิญญาณบริสุทธิ์ ) “ เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป “ ( ยอห์น 14:16 ) ผู้ช่วยองค์นี้ ( พระวิญญาณบริสุทธิ์ )  ทรงสถิตอยู่กับเปาโลเมื่อศัตรูของท่านกล่าวร้ายท่านว่าเป็นคนขี้ขลาดและเป็นคนฝ่ายเนื้อหนังต่อหน้าคริสตจักรโครินธ์ และในเวลานี้พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงกระทำกิจของพระองค์ในปัจจุบันนี้พระองค์ทรงปฏิบัติตามแผนการนิรันดร์ของพระองค์ ( เอเฟซัส 3:11 ) พระองค์ทรงตอบสนองคำร้องทูลเรา พระองค์ทรงให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริงโดยพระเยซูคริสต์เจ้า ( 2 โครินธ์ 1:20 ) ความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของคริสเตียนนั้นก็คือ พระเจ้าทรงตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์และพระองค์ทรงเสริมกำลังเรี่ยงแรงเมื่อเราอยู่ภายใต้ความกดดันเกินกว่าที่เราจะสามารถทนได้

. เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่พี่น้องในความเพียร (6)

คำถาม : ทำไมคริสเตียนดี ๆ หรือผู้รับใช้ที่ดี ๆ ต้องเผชิญกับความทุกข์?

คำตอบ : เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการจะเห็นตัวอย่างมากกว่าเห็นแค่คำพูด ดังนั้นผู้รับใช้ที่ดี ๆ

ของพระเจ้า พระองค์มักจะอนุญาติให้เขาต้องพบความทุกข์ เพื่อในความทุกข์นั้นเขาจะได้เปล่งประกายแห่งความหวังใจในความเชื่อให้เจิดจ้ายิ่งขึ้น คนทั้งหลายที่ได้สัมผัสชีวิตของเขาจะได้เห็นพระคุณพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ผ่านชีวิตของเขา ทำให้คนเหล่านั้นเกิดพลังใจในเวลาที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์

จะทุกข์หรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับจะจัดการอย่างไรกับความทุกข์ ถ้าเรายินดีที่จะอดทนต่อความทุกข์ ได้รับความชูใจในความทุกข์ เผชิญความทุกข์ด้วยความเพียร เราจะเป็นพระพรกับคนมากมาย

ดังนั้นสำคัญมากที่เราจะต้องเผชิญความทุกข์ด้วยความเพียร และเรียนรู้ที่จะรับความชูใจจากพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็เห็นแก่คนอื่น ๆ ที่กำลังมองดูชีวิตของเราอยู่

ตัวอย่าง : คนที่กลายเป็นพลังใจให้คนทั้งโลก มักจะเป็นคนที่เอาชนะความทุกข์ด้วยความเพียร เช่น จอห์นนี่ / อับราฮัม ลิงคอนน์ / วินสตั้น เชอร์ชิล

ก่อนที่จะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ จำเป็นที่จะต้องฝ่าฟันความทุกข์ครั้งใหญ่ก่อน

. เพื่อชูใจพี่น้องให้เข้าส่วนในการทนทุกข์กับพระคริสต์ (7)

เป็นผลมาจากการที่คนได้เห็นแบบอย่างตามข้อ ข. เมื่อคนอื่น ๆ เห็นว่า ในความทุกข์นั้นมีความชูใจที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ทุกคนก็จะอยากรับความชูใจ อยากเป็นส่วนหนึ่งของความชื่นชมยินดีในชัยชนะนั้น

ตัวอย่าง : ความทุกข์ของนักกีฬา เมื่อผ่านทุกข์และได้รับชัยชนะ เขาก็จะได้รับเกียรติอย่างมากมาย ทำให้คนจำนวนมากอยากเป็นนักกีฬา อยากเล่นกีฬา อยากฝึกกีฬา ทั้งที่รู้ว่ามันต้องเหนื่อย มันต้องเพียร มันต้องลงทุน แต่พวกเขายอม เพราะรู้ว่าในกีฬานั้นมีความชื่นชมยินดีซุกซ่อนอยู่

ดังนั้น

-                   ถ้าเราติดตามพระเจ้าอย่างมีความสุข แม้สถานการณ์จะมีแต่ทุกข์ ก็จะมีคนจำนวนที่อยากเข้ามาติดตามพระเจ้าเหมือนกับเรา

-                   ถ้าเรารับใช้พระเจ้าอย่างมีความสุข แม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับความทุกข์มากมาย เชื่อว่าจะมีคนอีกจำนวนมากยินดีเข้ามามีส่วนในการรับใช้ร่วมกับเรา

 

สรุป

 

พระเจ้าอนุญาติให้เราต้องพบความทุกข์ เพื่อในความทุกข์นั้นเขาจะได้เปล่งประกายแห่งความหวังใจในความเชื่อให้เจิดจ้ายิ่งขึ้น เพื่อในความทุกข์นั้น เราจะได้รับความชูใจจากพระเจ้า และเราจะสามารถนำเอาความชูใจนี้สืบสานไปสู่คนอื่น ๆ ต่อไป

 

 

                               


วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ยุทธวิธีพลิกโลกแบบพระเยซู

ยุทธวิธีพลิกโลกแบบพระเยซู

(มธ.9:35-10:1)

 

35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ   ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ประกาศข่าวประเสริฐ   แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย 36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา   ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า   ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา   แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา   ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์

1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา   แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้   และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้

 

คำนำ

เรื่องเล่า                 - ครั้งหนึ่งขณะที่อเล็กแซนเดอร์มหาราช ยกทัพไปเพื่อหวังจะพิชิตเปอร์เซีย พระองค์จะต้องผ่านซอกเขาที่ล่อแหลมที่ถูกควบคุมด้วยชาวป่าเขาเหนึ่ง หากต้องใช้กำลังรบพุ่งกองทัพของพระองค์อาจจะอ่อนแอลงมากกว่าที่จะพิชิตเปอร์เซียได้ ครั้นจะเจรจาก็ไม่มีทางเป็นไปได้ พระองค์จึงวางแผนให้กองทัพแต่งขบวนพาเหรดอย่างสวยงาม แล้วเดินพาเหรดสวนสนามผ่านหุบเขาที่หล่อแหลมนั้นไปอย่างปลอดภัย เพราะกองทัพชาวป่าเขานั้น มัวแต่ตลึงพลึงเพลิดกับความสวยงามของกองทหารของอเล็กแซนเดอร์ และหวาดกลัวความอลังการนั้น จนไม่กล้าทำอะไรเลย

เสนอ

                - แม้เรากำลังกล่าวถึงยุทธวิธีพลิกโลก ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ยุทธวิธีก็น่าจะซับซ้อนและยิ่งใหญ่ด้วย แท้จริงแล้ว พระเยซูทรงใช้ยุทธวิธีที่เรียบง่าย ขนาดที่ชาวประมงธรรมดาก็ยังสามารถทำตามและสานต่อยุทธวิธีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                - การที่จะนำดวงวิญญาณคนไทยมาถึงความรอดในพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ พระเยซูและสาวกไม่กี่คนยังสามารถคว่ำโลกได้ เราอยู่ที่นี่มากกว่านั้นเสียอีก หากเราเรียนรู้ยุทธวิธีของพระองค์ และยอมอุทิศชีวิตให้พระองค์อย่างแท้จริง ในช่วงชีวิตของเรา เราจะเห็นคนไทยหลายสิบล้านคนมาถึงความรอด

- อะไรคือยุทธวิธีที่พระเยซูและสาวกของพระองค์ใช้ ซึ่งมีพลังยิ่งใหญ่ ทำให้พระองค์สามารถพลิกคว่ำโลกได้

 

เชื่อมโยง

จากพระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราเห็นยุทธวิธี 3 ขั้นตอน ที่พระเยซูทรงใช้ในการทำพันธกิจของพระองค์

 

สรุปความ

ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ ยุทธวิธีของพระเยซู (วิธีของพระเยซู คือ คน)

 

ยุทธวิธีขั้นที่ 1 ออกไปสัมผัสคน (35)

35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ...

36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา   ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง  

                ก. อะไรเป็นเหตุที่ผลักดันให้พระเยซูเสด็จไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ

-                   เพราะยังมีแกะของพระเจ้าที่หลงหายอีกมากมายที่พระองค์ต้องออกไปติดตามกลับมา

-                   เพราะพระองค์มองเห็นคนอีกมากมายที่มีความต้องการพระเจ้า

-                   เพราะพระองค์มีใจเมตตาต่อทุกคน

ข. พระเยซูมองเห็นอะไรในชีวิตของประชาชน

- คนที่ถูกรังควาน

- คนที่ไร้ที่พึ่ง

- พวกเขามีสภาพเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง // แกะสายตาสั้น หากินเองไม่ค่อยเป็น ป้องกันตัวได้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากขาดผู้เลี้ยง มันจะหลงทาง โหยหิว และถูกรังควานโดยศัตรู เช่น สิงโต หมาป่า หมี

- คนในยุคของเราก็มีสภาพไม่ต่างไปจากยุคของพระเยซูมากนัก

                / เขาถูกรังควานจากปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ

                / เขาไร้ที่พึ่ง หาทางออกให้ตนเองไม่ได้ พึ่งศาสนาก็ไม่ได้ พึ่งนักการเมืองก็ไม่ได้ พึ่ง NGO ก็ไม่ได้ พึ่งระบบการศึกษาก็ไม่ได้ พึ่งครอบครัวก็ไม่ค่อยได้ แล้วเขาจะพึ่งใคร !!!

ค. สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดของสังคมคือ คนของพระเจ้ามองไม่เห็นคนที่ถูกรังควานไร้ที่พึ่งเหล่านี้

- เรามักจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยด้วยความท้อใจ หรือมองแล้วก็เฉย ๆ หรือมองเห็นแค่กระเพาะของตนเอง หรือไม่ได้มองคนรอบข้างด้วยซ้ำไป

ง. ตัวอย่าง - เซลล์ชั้นยอดถูกส่งไปแอฟริกา เพื่อหาช่องทางขยายตลาดรองเท้า

                คนแรกที่ถูกส่งไป โทรเลขกลับไปบริษัทแม่ว่า ไม่ต้องส่งรองเท้ามา เพราะที่นี่ไม่มีใครใส่รองเท้าเลย / คนที่สองถูกส่งมาอีก เขาโทรเลขกลับไปยังบริษัทแม่ว่า รีบส่งรองเท้ามาด่วน ส่งมามากที่สุดเท่าที่จะส่งมาได้ เพราะที่นี่ยังไม่มีใครมีรองเท้าใส่เลย

                - น่าคิด / มุมมองที่แตกต่าง ทำให้เราตอบสนองอย่างแตกต่าง ถ้าเรามองประเทศไทยด้วยสายตาของพระเจ้า เราจะเห็นความต้องการที่มากมายของผู้คน เราจะมองเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำการของพระเจ้า เราก็จะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่เรามีเพื่อนำคนเหล่านี้มาถึงความรอดในพระเยซูคริสต์

 

ยุทธวิธีขั้นที่ 2 ปลดปล่อยคน (35)

ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ประกาศข่าวประเสริฐ   แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย

                ก. ทรงปลดปล่อยภายใน

                - ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา เรื่องราวที่พระองค์สั่งสอน คือ สัจจธรรมของพระเจ้า เช่น มหาบัญญัติ (บัญญัติรัก), รู้จักต้นไม้ด้วยผล, พระองค์มาไถ่มนุษยชาติ เป็นต้น // สัจจธรรมมีประโยชน์ คือ ช่วยเปิดตาฝ่ายวิญญาณผู้คนให้มองเห็นความจริงแท้ฝ่ายวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า และช่วยให้เปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะคำสอนของพระองค์เต็มด้วยสิทธิอำนาจ

- ทรงประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้ประชาชนเห็นทางออกของชีวิต มีความหวัง และเปิดประตูแห่งทางรอดให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนได้กลับใจจากบาป คนหันมาหาพระเจ้า และได้รับความรอด

- การสั่งสอนและประกาศของพระเยซูนั้นแตกต่างจากผู้นำศาสนา การศึกษา และนักปราชในยุคนั้น เพราะ ทรงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ

มัทธิว 7:29:

เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ   หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่

มาระโก 1:22:

เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์   เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ   หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ไม่

มาระโก 1:27:

คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกันว่า   การนี้เป็นอย่างไรหนอเป็นคำสั่งสอนใหม่แน่   ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันจำต้องฟัง

- การเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนและสังคมจะเกิดขึ้น เมื่อเราใช้พระวจนะของพระเยซูซึ่งทรงสิทธิอำนาจ เพราะพระวจนะของพระเจ้านั้นคมยิ่งกว่าดาบสองคมใด ๆ (ฮบ.4:12)

                ข. ทรงปลดปล่อยภายนอก

                - ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย เป็นพันธกิจที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเมตตา สงสาร และรักประชาชน พระองค์ไม่ได้ห่วงใยเพียงแค่ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ทรงห่วงใยฝ่ายร่างกายและจิตใจของทุกคนด้วย

                - การรักษาโรคเป็นสัญญาลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นพระเมสสิยาห์ และเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงแผ่นดินของพระเจ้ามาตตั้งอยู่

                ค. เราจะปลดปล่อยผู้คนได้อย่างไร

                - เริ่มสนใจ เมตตา ปรารถดี

                - สัมผัสเขาด้วยพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

                - ยอมให้พระเจ้าใช้เรา เพื่อเป็นพระพรสำหรับเขา

                - ปลดปล่อยเขาด้วยของประทาน ตะลันต์/ความสามารถทั้งปวงที่เราได้รับจากพระเจ้า

 

ยุทธวิธีขั้นที่ 3 ส่งต่อพันธกิจ (9:37-10:1)

37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า   ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา   แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา   ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์

1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา   แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้   และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้

 

ก. ทรงเปิดตาคน

- ให้มองเห็นความต้องการของคนอื่น ๆ

                - ให้มีภาระใจในชีวิตของคนอื่น

                - ให้มีสายตาของพระเจ้า (มองคนและสิ่งรอบข้างด้วยสายตาพระเจ้า)

ข. ทรงเรียกคน

                - เรียกรวม ๆ คือ การเรียกร้องฝูงชน ให้รับรู้ถึงความต้องการของคนและพระเจ้า

                - เรียกเจาะจง คือ การเรียกให้บางคนเข้ามารับการสร้างเพื่อจะออกไปทำเหมือนที่พระเยซูทรงทำ

ค. ทรงฝึกฝนและอบรมคน

                - ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่าง

                - สั่งสอน, ฝึกฝน, พัฒนา

                - แก้ไขสิ่งที่บกพร่องและผิดพลาด

ง. ทรงใช้คน

                - มอบงานให้

                - มอบสิทธิอำนาจให้

จ. ทรงร่วมฉลองความสำเร็จของเขา

                - ชมเชย

                - ให้รางวัลชีวิต

                - ฉลองชัย

ฉ. ทรงสัญญาที่จะให้บำเหน็จในอนาคต

 

สรุป

                นักท่องเที่ยวอเมริกัน ไปเที่ยวแมกซิโก / คืนหนึ่งลมได้พัดปลาดาวมาตกค้างที่หาดเต็มไปหมด // เขาเห็นชาวบ้านคนหนึ่งเดินเก็บปลาดาวโยนลงทะเล /// เขาทักท้วงว่า ทำอย่างนี้เมื่อไหร่จึงจะช่วยปลาดาวได้หมด ชาวบ้านตอบว่า อย่างน้อยผมก็ช่วยได้ตัวหนึ่ง ว่าแล้วก็เก็บปลาดาวโยนลงทะเลต่อไป

                เราอาจจะไม่สามารถพลิกโลกได้ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว แต่ถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้เราเป็นภาชนะของพระองค์ในการช่วยคนบางคนก็ขอให้ทำอย่างเต็มที่ และถ้าคริสเตียนทุกคนคิดเช่นนี้ 1 คนช่วย 3 คน คนทั้งโลกก็รอด พระเยซูก็จะกลับมาพร้อมกับบำเหน็จสำหรับทุกคน

 

ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

พื้นฐานการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ

พื้นฐานการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ

คำนำ :
การเจริญเติบโตเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ปกติ ถ้าชีวิตใดไม่เจริญเติบโตแสดงว่ามีความปกติบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งความจริงนี้เป็นจริงในชีวิตคริสเตียนด้วย คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้วจะต้องมีการเจริญเติบโตขึ้นในพระเจ้าตามลำดับ แต่ถ้าคริสเตียนคนใดไม่มีการเจริญเติบฝ่ายวิญญาณ ให้สงสัยไว้ก่อนว่า ชีวิตคริสเตียนคนนั้นผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เช่น อาจจะยังไม่ได้บังเกิดใหม่ หรือมีโรคฝ่ายวิญญาณ หรือขาดการบำรุงรักษาฝ่ายวิญญาณ เป็นต้น

1. เป้าหมายสูงสุดของชีวิตคริสเตียน
1.1 เป้าหมายสูงสุดของคริสเตียนคือ การเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์
• เอเฟซัส 4:13 เราจะต้องเสริมสร้างซึ่งกันและกัน จนกว่าทุกคนจะเต็มขนาดความไพบูยล์ของพระเยซูคริสต์ (เป็นเหมือนนพระเยซูคริสต์)
• โรม 8:29 แผนการไถ่สูงสุดของพระเจ้าคือ ให้เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นบุตรหัวปีแห่งพระฉายาของพระเจ้า
1.2 เหตุผล-เพราะ…
• พระเยซูคริสต์เป็นบุตรหัวปีของสรรพสิ่ง (คส.1:15)
• พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นพระฉายของพระองค์ (ปฐก.1:26)
• ความบาปทำลายมนุษย์ ทำให้เราเสื่อจากพระฉายของพระเจ้า (รม.3:23)
• แผนการของในการไถ่บาปเรามีเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ การนำเรากลับคืนสู่พระฉายของพระเจ้า (รม.8:29)
1.3 สรุป
ดังนั้นการเจริญเติบโตของคริสเตียนหมายถึง การเจริญขึ้นในพระฉายของพระเจ้า หรือการเจริญขึ้นในความเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

2. ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ 
2.1 การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ก. จาก ฮีบรู 5:12-14 เราจะเห็นหลักการบางอย่างเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของคริสเตียนดังนี้
• จากข้อความข้างต้นเราพบว่าพระวจนะของพระเจ้าเปรียบเหมือนอาหารที่เราต้องกินเพื่อให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ ในที่นี้ได้พูดถึงอาหาร 2 ประเภทคือ “น้ำนม” และ “อาหารแข็ง”
• “น้ำนม” หมายถึง หลักข้อเชื่อพื้นฐาน ซึ่งทำให้ผู้เชื่อใหม่รับผิดชอบชีวิตคริสเตียนที่ง่าย ๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก
• “อาหารแข็ง” หมายถึง หลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์ที่เป็นส่วนที่เข้าใจได้ยากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนรู้จะต้องพัฒนาชีวิตคริสเตียนของตนให้มีความรับผิดชอบสูงขึ้น ทั้งในชีวิตส่วนตัว, ในครอบครัว, ในที่ทำงาน, ในคริสตจักร, ในการรับใช้พระเจ้าด้านต่าง ๆ และการช่วยผู้อื่นให้เจริญขึ้นในพระเจ้าด้วย
• เป็นไปได้ที่คริสเตียนที่เชื่อมานานแล้วจะยังไม่เจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณและไม่สามารถรับอาหารแข็งได้
ข. ดังนั้นการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณจึงไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติ แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้อง…
• ยอมอุทิศตัวเพื่อพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณ
• ให้เวลากับการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างมีวินัย
• มีความเพียรพยายามและอดทนต่อการทดสอบ
• ร่วมมือกับผู้นำคริสตจักรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
• เรียนรู้ที่จะศึกษาและเชื่อฟังปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า
2.2 การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นกระบวนการ
ก. จาก เอเฟซัส 4:13 เราจะเห็นหลักการบางอย่างเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของคริสเตียนดังนี้
จากคำว่า “จนกว่า” แสดงให้เห็นว่าจะต้องใช้เวลาที่จะบรรลุถึง “ความสมบูรณ์” หรือ “ความไพบูลย์ของพระคริสต์” โดยความจริงแล้วการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ในพระคริสต์จะต้องใช้เวลาตลอดชีวิตของเรา
ข. อัครทูตเปาโลเป็นคริสเตียนที่เติบโตมากที่สุดผู้หนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ดีท่านก็ยังไม่ได้บอกว่าท่านเหมือนพระฉายของพระเยซูอย่างสมบูรณ์ ท่านกล่าวว่า “มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้วหรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป….ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบนให้เราไปรับ” (ฟป. 3:12ก, 14)
ค. การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่มี “การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณแบบสำเร็จรูป” ไม่มีทางลัดในการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ แต่เราสามารถเติบโตได้เร็วขึ้นถ้าเรายอมกับพระเจ้าและมีวินัยในชีวิต
2.3 การเติบโตฝ่ายวิญญาณต้องมีชีวิตที่มีวินัย
ก. เราจะต้องฝึกตนในทางธรรม (1 ทธ. 4:7ข-8)
• ถ้าเราไม่มีวินัย เราก็ไม่สามารถเป็นสาวกที่ดีของพระเยซูคริสต์ได้ (ในภาษาอังกฤษคำว่า “สาวก” มาจากรากศัพท์ของคำว่า “วินัย”)
• ไม่มีนักกีฬาคนใหนในโลกจะประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องฝึกซ้อมอย่างมีวินัย
ข. พระเยซูคริสต์เรียกร้องให้เราเอาชนะตนเองและแบกกางเขน (ลก. 9:23 ; 14:27)
• กางเขนเป็นสัญลักษณ์ของความตาย และการแบกกางเขนของเราหมายความว่าเรา “ตายต่อตัวเอง” หรือ “ปฏิเสธตัวเอง” ซึ่งก็คือเราให้พระคริสต์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา เราจะติดตามและเชื่อฟังพระองค์แทนที่จะทำตามใจปรารถนาของตัวเอง

3. หัวใจของการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ การพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้า
3.1 ความปรารถนาของพระเยซูคริสต์
ก. พระเยซูคริสต์ทรงเรียกร้องให้เราสามัคคีธรรมกับพระองค์ (วว.3:20)
• พระเยซูทรงรอให้คริสเตียนเปิดประตูรับพระองค์
• พระเยซูทรงปรารถนาที่จะรับประทานหรือสามัคคีธรรมกับเรา
• คริสเตียนบางคนให้พระเจ้ายืนอยู่ข้างนอกใจของเขาและจะให้พระเจ้าเสด็จเข้ามาในบางโอกาสเท่านั้น พวกเขาไม่ได้พัฒนานิสัยในการใช้เวลากับพระเจ้าทุกวัน พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสามัคคีธรรมกับเราทุกวัน
ข. เคล็ดลับแห่งการมีชีวิตคริสเตียนที่เกิดผลคือ การติดสนิทกับพระเยซูคริสต์ (ยน.15:1-8)
• จำเป็นอย่างยิ่งที่ชีวิตคริสเตียนจะต้องเกิดผล เพราะถ้าไม่เกิดผลพระเจ้าจะตัดทิ้งเสีย (1-2)
• วิธีเดียวที่จะเกิดผลได้ก็คือ การเข้าสนิทในพระเยซูคริสต์ (3-6)
• เมื่อเราเข้าสนิทอยู่พระเยซูคริสต์แล้ว จะมีปรากฏการณ์ 2 อย่างเกิดขึ้นในชีวิตของเราคือ การดำเนินชีวิตในถ้อยคำของพระองค์และการทูลอธิษฐานในพระนามพระองค์ (7)
• ในที่สุดพระบิดาจะได้รับเกียรติเมื่อเราเกิดผลมากเพราะการเข้าสนิทในพระเยซูคริสต์ (8)
3.2 หัวใจแห่งความสัมพันธ์กับพระเจ้า
ก. การดำเนินชีวิตในพระวจนะของพระเจ้า
• การดำเนินชีวิตในพระวจนะของพระเยซูคริสต์เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของการเป็นสาวก (ยน. 8:31-32)
• การดำเนินชีวิตในพระวจนะของพระเยซูคริสต์เป็นจุดหมายปลายทางของการสร้างสาวกตามหลักการแห่งพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ (มธ.28:18-20 เน้นข้อ 20)
• พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือสำคัญของพระเจ้าในการสร้างชีวิตของเรา (ฮร.4:12, 2ทธ.3:16-17)
ข. การอธิษฐาน
• พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างในการอธิษฐาน (มก.1:35)
• พระเจ้าทรงปรารถนาให้คริสเตียนอธิษฐานเสมอ (1ธก.5:17)

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

การสอนเด็กให้อธิษฐานเป็น

สอนเด็กให้อธิษฐาน

 

เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกของพระองค์คนหนึ่ง ทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ขอสอนพวกข้าพระองค์ให้อธิษฐาน เหมือนยอห์นได้สอนพวกศิษย์ของตน” (ลูกา 11:1)

 

ในขณะที่มีหลายคนท่องจำคำอธิษฐานของพระเยซูในพระธรรมมัทธิว 6:9 นี้  เราควรให้ความสนใจจุดที่เป็นหลักการของการอธิษฐานที่ได้สอนเราจากพระธรรมในตอนนี้

 

คำอธิษฐานของพระเยซู

ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่เคารพสักการะ

·        เราเข้าไปใกล้ความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า

·        เรารับรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักทรงรับสดับฟัง และสนใจเรา

·        พระองค์ทรงสูงสุดเหนือพระ และมนุษย์ทั้งปวง

·        เป็นที่เคารพสักการะ หมายถึง พระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ทรงสมควรได้รับการยกย่องสูงสุด

เด็ก ๆ จำเป็นต้องมีความเข้าใจว่าในขณะที่พระเจ้าทรงมีความสงสารต่อเรานั้นพระองค์ทรงบริสุทธิ์ และเพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ พระองค์ทรงต้องการให้บรรดาบุตรของพระองค์ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม (1เปโตร 1\;14-15)

 

ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

·        เราอธิษฐานว่า ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่หมายความว่า เรากำลังมีส่วนเห็นด้วยในเป้าหมายอันเดียวกันกับพระองค์ (วิวรณ์ 11:15)

·        ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้พูดอยู่เสมอว่า แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ในคำอธิษฐานของเรา แต่ท่าทีในการเห็นด้วยอย่างที่สุดกับน้ำพระทัยของพระองค์นั้นต้องปรากฏเป็นรากฐานแห่งคำอธิษฐานของเรา

·        การยอมฟังต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าต้องเป็นท่าทีในการอธิษฐานของเรา

·        ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลกเราสามารถมีความมั่นใจในพระเจ้าผู้ทรงให้น้ำพระทัยอันสมบูรณ์ของพระองค์สำเร็จในสวรรค์ และเรากำลังเชื้อเชิญพระองค์ที่จะนำน้ำพระทัยอันสมบูรณ์ของพระองค์มาสู่ชีวิตของเรา

เด็ก ๆ จำเป็นต้องมีความเข้าใจว่าในการเป็นบุตรของพระเจ้านั้นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันประเสริฐของพระองค์  พวกเขาจำเป็นต้องมีความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงทราบตลอดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรของพระองค์

 

ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้

·        พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีร่างกายที่มีความต้องการ พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นตลอดประวัติศาสตร์แล้วว่า พระองค์จะทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับบรรดาบุตรของพระองค์

·        จากรูปแบบการอธิษฐานนี้ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้เราอธิษฐานขอให้พระองค์ประทานสิ่งที่เราต้องการให้กับเรา

·        เราได้เห็นการพึ่งพาพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งในชีวิต

·        การจัดเตรียมต่อความต้องการพื้นฐานของเรา ทำให้เราสามารถเติมเต็มพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราบนโลกนี้ได้

เด็ก ๆ จำเป็นต้องมีความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้จัดเตรียมสำหรับความต้องการของพวกเขา

 

ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์

·        การรู้จักการให้อภัยของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะต่อความบาป

·        เมื่อใดก็ตามที่เราอธิษฐานขอการอภัย และพระเมตตาจากพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ พระองค์จะไม่ทรงปฏิเสธเรา

·        การสารภาพบาปต่อพระเจ้าทำให้เรามีความถ่อมใจ และเป็นการเตือนเราถึงการต้องพึ่งพาพระเมตตาของพระองค์

·        เมื่อเรากำลังเจริญขึ้นสู่ความบริสุทธิ์เราก็เรียนรู้การที่จะให้อภัยกับคนอื่น เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงประทับในเราทรงให้อภัยแก่เรา

เด็ก ๆ จำเป็นต้องมีความเข้าใจถึงความสำคัญในการสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงรู้จักธรรมชาติบาปของเรา พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมหนทางสำหรับเราในการเจริญเติบโตในพระวิญญาณโดยที่ความบาปไม่สามารถมาหยุดยั้งการเจริญเติบโตนั้นได้

 

และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย

·        การยกโทษของพระเจ้าปลดปล่อยเราจากการลงโทษบาป ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าปกป้องเราจากการทดลองที่เข้ามาในอนาคต

·        เรารู้ว่าศัตรูของเรานั้นรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ และจุดอ่อนของเรา และเมื่อเราตระหนักถึงแนวโน้มในการทำบาปของเรา เราสามารถอธิษฐานขอพระเจ้าที่จะประทานกำลังของพระองค์แก่เราได้ พระองค์จะทรงตอบเราโดยประทานกำลัง และการปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายให้กับเรา

เด็ก ๆ จำเป็นต้องมีความเข้าในว่า ซาตาน มีจริง และมันไม่ต้องการให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการดำเนินกับพระเจ้า การที่รู้สิ่งนี้เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในความสัมพันธ์กับพระองค์

 

ทำไมการสอนให้เด็ก ๆ อธิษฐานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

เพราะว่าโดยการอธิษฐานพระเจ้าทรงสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์แก่บุตรของพระองค์

 

การอธิษฐานเป็นการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างพระบิดาและบุตรของพระองค์

 

เด็กสามารถมีประสบการณ์การทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ผู้ทรงกระทำกิจภายในชีวิตของพวกเขาผ่านทางการอธิษฐาน

 

สอนให้เด็กอธิษฐานอย่างไร

เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเด็กให้มีความเข้าใจถึงการอธิษฐานว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่ควรมีในชีวิตคริสเตียน การพูดคุยกับพระเจ้าควรเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำเหมือนกับการที่เราต้องพูดคุยกับครอบครัว กับเพื่อน พระเจ้าต้องการให้เราพูดคุยกับพระองค์ถึงทุก ๆ สิ่งในชีวิตของเรา

 

ถ้าเราต้องการให้เด็กอธิษฐานได้อย่างไม่อึดอัด เราต้องให้เด็กได้พูดคุยกับพระเจ้าถึงสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา และให้พวกเขาใช้คำศัพท์ที่เป็นของพวกเขาเอง

 

ครูควรเป็นแบบอย่างในการอธิษฐานสำหรับเด็ก ในฐานะที่เป็นครู เราต้องระมัดระวังในการสอนทัศนะคติในการอธิษฐานที่เหมาะสม บ่อยครั้งที่เรามักให้ความสนใจแต่ในการ ร้องทูลการอธิษฐานนั้นเป็นมากกว่าการที่คนหนึ่งเอาแต่ทูลอธิษฐาน และพระเจ้าเป็นผู้ฟังเท่านั้น การอธิษฐานนั้นต้องรวมถึงทั้งการเปิดปากพูด และการเปิดหูเพื่อฟังด้วย

 

วิธีเรียนรู้เกี่ยวกับการอธิษฐานที่ดีที่สุดก็คือ การลงมือ อธิษฐาน จัดเตรียมโอกาสสำหรับเด็ก ๆ ในการอธิษฐาน และจัดเตรียมโอกาสสำหรับพวกเขาในการที่จะสงบนิ่งต่อพระเจ้า การช่วยเด็กให้สร้างระบบในการอธิษฐานของพวกเขา ควรให้เขาได้อธิฐานสำหรับบางสิ่งบางอย่างเฉพาะเจาะจง

 

เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 18:4)

พระเยซูคริสต์ทรงรู้ว่าเด็ก ๆ เชื่อ  และวางใจ ได้เร็ว ทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญในชีวิตการอธิษฐานที่มีประสิทธิภาพ