เด็กคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

เด็กคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

์

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ยุทธวิธีพลิกโลกแบบพระเยซู

ยุทธวิธีพลิกโลกแบบพระเยซู

(มธ.9:35-10:1)

 

35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ   ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ประกาศข่าวประเสริฐ   แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย 36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา   ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า   ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา   แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา   ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์

1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา   แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้   และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้

 

คำนำ

เรื่องเล่า                 - ครั้งหนึ่งขณะที่อเล็กแซนเดอร์มหาราช ยกทัพไปเพื่อหวังจะพิชิตเปอร์เซีย พระองค์จะต้องผ่านซอกเขาที่ล่อแหลมที่ถูกควบคุมด้วยชาวป่าเขาเหนึ่ง หากต้องใช้กำลังรบพุ่งกองทัพของพระองค์อาจจะอ่อนแอลงมากกว่าที่จะพิชิตเปอร์เซียได้ ครั้นจะเจรจาก็ไม่มีทางเป็นไปได้ พระองค์จึงวางแผนให้กองทัพแต่งขบวนพาเหรดอย่างสวยงาม แล้วเดินพาเหรดสวนสนามผ่านหุบเขาที่หล่อแหลมนั้นไปอย่างปลอดภัย เพราะกองทัพชาวป่าเขานั้น มัวแต่ตลึงพลึงเพลิดกับความสวยงามของกองทหารของอเล็กแซนเดอร์ และหวาดกลัวความอลังการนั้น จนไม่กล้าทำอะไรเลย

เสนอ

                - แม้เรากำลังกล่าวถึงยุทธวิธีพลิกโลก ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ยุทธวิธีก็น่าจะซับซ้อนและยิ่งใหญ่ด้วย แท้จริงแล้ว พระเยซูทรงใช้ยุทธวิธีที่เรียบง่าย ขนาดที่ชาวประมงธรรมดาก็ยังสามารถทำตามและสานต่อยุทธวิธีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                - การที่จะนำดวงวิญญาณคนไทยมาถึงความรอดในพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ พระเยซูและสาวกไม่กี่คนยังสามารถคว่ำโลกได้ เราอยู่ที่นี่มากกว่านั้นเสียอีก หากเราเรียนรู้ยุทธวิธีของพระองค์ และยอมอุทิศชีวิตให้พระองค์อย่างแท้จริง ในช่วงชีวิตของเรา เราจะเห็นคนไทยหลายสิบล้านคนมาถึงความรอด

- อะไรคือยุทธวิธีที่พระเยซูและสาวกของพระองค์ใช้ ซึ่งมีพลังยิ่งใหญ่ ทำให้พระองค์สามารถพลิกคว่ำโลกได้

 

เชื่อมโยง

จากพระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราเห็นยุทธวิธี 3 ขั้นตอน ที่พระเยซูทรงใช้ในการทำพันธกิจของพระองค์

 

สรุปความ

ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ ยุทธวิธีของพระเยซู (วิธีของพระเยซู คือ คน)

 

ยุทธวิธีขั้นที่ 1 ออกไปสัมผัสคน (35)

35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ...

36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา   ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง  

                ก. อะไรเป็นเหตุที่ผลักดันให้พระเยซูเสด็จไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ

-                   เพราะยังมีแกะของพระเจ้าที่หลงหายอีกมากมายที่พระองค์ต้องออกไปติดตามกลับมา

-                   เพราะพระองค์มองเห็นคนอีกมากมายที่มีความต้องการพระเจ้า

-                   เพราะพระองค์มีใจเมตตาต่อทุกคน

ข. พระเยซูมองเห็นอะไรในชีวิตของประชาชน

- คนที่ถูกรังควาน

- คนที่ไร้ที่พึ่ง

- พวกเขามีสภาพเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง // แกะสายตาสั้น หากินเองไม่ค่อยเป็น ป้องกันตัวได้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากขาดผู้เลี้ยง มันจะหลงทาง โหยหิว และถูกรังควานโดยศัตรู เช่น สิงโต หมาป่า หมี

- คนในยุคของเราก็มีสภาพไม่ต่างไปจากยุคของพระเยซูมากนัก

                / เขาถูกรังควานจากปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ

                / เขาไร้ที่พึ่ง หาทางออกให้ตนเองไม่ได้ พึ่งศาสนาก็ไม่ได้ พึ่งนักการเมืองก็ไม่ได้ พึ่ง NGO ก็ไม่ได้ พึ่งระบบการศึกษาก็ไม่ได้ พึ่งครอบครัวก็ไม่ค่อยได้ แล้วเขาจะพึ่งใคร !!!

ค. สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดของสังคมคือ คนของพระเจ้ามองไม่เห็นคนที่ถูกรังควานไร้ที่พึ่งเหล่านี้

- เรามักจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยด้วยความท้อใจ หรือมองแล้วก็เฉย ๆ หรือมองเห็นแค่กระเพาะของตนเอง หรือไม่ได้มองคนรอบข้างด้วยซ้ำไป

ง. ตัวอย่าง - เซลล์ชั้นยอดถูกส่งไปแอฟริกา เพื่อหาช่องทางขยายตลาดรองเท้า

                คนแรกที่ถูกส่งไป โทรเลขกลับไปบริษัทแม่ว่า ไม่ต้องส่งรองเท้ามา เพราะที่นี่ไม่มีใครใส่รองเท้าเลย / คนที่สองถูกส่งมาอีก เขาโทรเลขกลับไปยังบริษัทแม่ว่า รีบส่งรองเท้ามาด่วน ส่งมามากที่สุดเท่าที่จะส่งมาได้ เพราะที่นี่ยังไม่มีใครมีรองเท้าใส่เลย

                - น่าคิด / มุมมองที่แตกต่าง ทำให้เราตอบสนองอย่างแตกต่าง ถ้าเรามองประเทศไทยด้วยสายตาของพระเจ้า เราจะเห็นความต้องการที่มากมายของผู้คน เราจะมองเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำการของพระเจ้า เราก็จะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่เรามีเพื่อนำคนเหล่านี้มาถึงความรอดในพระเยซูคริสต์

 

ยุทธวิธีขั้นที่ 2 ปลดปล่อยคน (35)

ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ประกาศข่าวประเสริฐ   แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย

                ก. ทรงปลดปล่อยภายใน

                - ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา เรื่องราวที่พระองค์สั่งสอน คือ สัจจธรรมของพระเจ้า เช่น มหาบัญญัติ (บัญญัติรัก), รู้จักต้นไม้ด้วยผล, พระองค์มาไถ่มนุษยชาติ เป็นต้น // สัจจธรรมมีประโยชน์ คือ ช่วยเปิดตาฝ่ายวิญญาณผู้คนให้มองเห็นความจริงแท้ฝ่ายวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า และช่วยให้เปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะคำสอนของพระองค์เต็มด้วยสิทธิอำนาจ

- ทรงประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้ประชาชนเห็นทางออกของชีวิต มีความหวัง และเปิดประตูแห่งทางรอดให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนได้กลับใจจากบาป คนหันมาหาพระเจ้า และได้รับความรอด

- การสั่งสอนและประกาศของพระเยซูนั้นแตกต่างจากผู้นำศาสนา การศึกษา และนักปราชในยุคนั้น เพราะ ทรงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ

มัทธิว 7:29:

เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ   หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่

มาระโก 1:22:

เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์   เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ   หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ไม่

มาระโก 1:27:

คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกันว่า   การนี้เป็นอย่างไรหนอเป็นคำสั่งสอนใหม่แน่   ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันจำต้องฟัง

- การเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนและสังคมจะเกิดขึ้น เมื่อเราใช้พระวจนะของพระเยซูซึ่งทรงสิทธิอำนาจ เพราะพระวจนะของพระเจ้านั้นคมยิ่งกว่าดาบสองคมใด ๆ (ฮบ.4:12)

                ข. ทรงปลดปล่อยภายนอก

                - ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย เป็นพันธกิจที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเมตตา สงสาร และรักประชาชน พระองค์ไม่ได้ห่วงใยเพียงแค่ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ทรงห่วงใยฝ่ายร่างกายและจิตใจของทุกคนด้วย

                - การรักษาโรคเป็นสัญญาลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นพระเมสสิยาห์ และเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงแผ่นดินของพระเจ้ามาตตั้งอยู่

                ค. เราจะปลดปล่อยผู้คนได้อย่างไร

                - เริ่มสนใจ เมตตา ปรารถดี

                - สัมผัสเขาด้วยพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

                - ยอมให้พระเจ้าใช้เรา เพื่อเป็นพระพรสำหรับเขา

                - ปลดปล่อยเขาด้วยของประทาน ตะลันต์/ความสามารถทั้งปวงที่เราได้รับจากพระเจ้า

 

ยุทธวิธีขั้นที่ 3 ส่งต่อพันธกิจ (9:37-10:1)

37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า   ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา   แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา   ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์

1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา   แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้   และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้

 

ก. ทรงเปิดตาคน

- ให้มองเห็นความต้องการของคนอื่น ๆ

                - ให้มีภาระใจในชีวิตของคนอื่น

                - ให้มีสายตาของพระเจ้า (มองคนและสิ่งรอบข้างด้วยสายตาพระเจ้า)

ข. ทรงเรียกคน

                - เรียกรวม ๆ คือ การเรียกร้องฝูงชน ให้รับรู้ถึงความต้องการของคนและพระเจ้า

                - เรียกเจาะจง คือ การเรียกให้บางคนเข้ามารับการสร้างเพื่อจะออกไปทำเหมือนที่พระเยซูทรงทำ

ค. ทรงฝึกฝนและอบรมคน

                - ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่าง

                - สั่งสอน, ฝึกฝน, พัฒนา

                - แก้ไขสิ่งที่บกพร่องและผิดพลาด

ง. ทรงใช้คน

                - มอบงานให้

                - มอบสิทธิอำนาจให้

จ. ทรงร่วมฉลองความสำเร็จของเขา

                - ชมเชย

                - ให้รางวัลชีวิต

                - ฉลองชัย

ฉ. ทรงสัญญาที่จะให้บำเหน็จในอนาคต

 

สรุป

                นักท่องเที่ยวอเมริกัน ไปเที่ยวแมกซิโก / คืนหนึ่งลมได้พัดปลาดาวมาตกค้างที่หาดเต็มไปหมด // เขาเห็นชาวบ้านคนหนึ่งเดินเก็บปลาดาวโยนลงทะเล /// เขาทักท้วงว่า ทำอย่างนี้เมื่อไหร่จึงจะช่วยปลาดาวได้หมด ชาวบ้านตอบว่า อย่างน้อยผมก็ช่วยได้ตัวหนึ่ง ว่าแล้วก็เก็บปลาดาวโยนลงทะเลต่อไป

                เราอาจจะไม่สามารถพลิกโลกได้ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว แต่ถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้เราเป็นภาชนะของพระองค์ในการช่วยคนบางคนก็ขอให้ทำอย่างเต็มที่ และถ้าคริสเตียนทุกคนคิดเช่นนี้ 1 คนช่วย 3 คน คนทั้งโลกก็รอด พระเยซูก็จะกลับมาพร้อมกับบำเหน็จสำหรับทุกคน

 

ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ