ยุทธวิธีพลิกโลกแบบพระเยซู
(มธ.9:35-10:1)
35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย 36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”
1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้
คำนำ
เรื่องเล่า - ครั้งหนึ่งขณะที่อเล็กแซนเดอร์มหาราช ยกทัพไปเพื่อหวังจะพิชิตเปอร์เซีย พระองค์จะต้องผ่านซอกเขาที่ล่อแหลมที่ถูกควบคุมด้วยชาวป่าเขาเหนึ่ง หากต้องใช้กำลังรบพุ่งกองทัพของพระองค์อาจจะอ่อนแอลงมากกว่าที่จะพิชิตเปอร์เซียได้ ครั้นจะเจรจาก็ไม่มีทางเป็นไปได้ พระองค์จึงวางแผนให้กองทัพแต่งขบวนพาเหรดอย่างสวยงาม แล้วเดินพาเหรดสวนสนามผ่านหุบเขาที่หล่อแหลมนั้นไปอย่างปลอดภัย เพราะกองทัพชาวป่าเขานั้น มัวแต่ตลึงพลึงเพลิดกับความสวยงามของกองทหารของอเล็กแซนเดอร์ และหวาดกลัวความอลังการนั้น จนไม่กล้าทำอะไรเลย
เสนอ
- แม้เรากำลังกล่าวถึงยุทธวิธีพลิกโลก ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ยุทธวิธีก็น่าจะซับซ้อนและยิ่งใหญ่ด้วย แท้จริงแล้ว พระเยซูทรงใช้ยุทธวิธีที่เรียบง่าย ขนาดที่ชาวประมงธรรมดาก็ยังสามารถทำตามและสานต่อยุทธวิธีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การที่จะนำดวงวิญญาณคนไทยมาถึงความรอดในพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ พระเยซูและสาวกไม่กี่คนยังสามารถคว่ำโลกได้ เราอยู่ที่นี่มากกว่านั้นเสียอีก หากเราเรียนรู้ยุทธวิธีของพระองค์ และยอมอุทิศชีวิตให้พระองค์อย่างแท้จริง ในช่วงชีวิตของเรา เราจะเห็นคนไทยหลายสิบล้านคนมาถึงความรอด
- อะไรคือยุทธวิธีที่พระเยซูและสาวกของพระองค์ใช้ ซึ่งมีพลังยิ่งใหญ่ ทำให้พระองค์สามารถพลิกคว่ำโลกได้
เชื่อมโยง
จากพระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราเห็นยุทธวิธี 3 ขั้นตอน ที่พระเยซูทรงใช้ในการทำพันธกิจของพระองค์
สรุปความ
ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ ยุทธวิธีของพระเยซู (วิธีของพระเยซู คือ คน)
ยุทธวิธีขั้นที่ 1 ออกไปสัมผัสคน (35ก)
35พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ...
36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง
ก. อะไรเป็นเหตุที่ผลักดันให้พระเยซูเสด็จไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ
- เพราะยังมีแกะของพระเจ้าที่หลงหายอีกมากมายที่พระองค์ต้องออกไปติดตามกลับมา
- เพราะพระองค์มองเห็นคนอีกมากมายที่มีความต้องการพระเจ้า
- เพราะพระองค์มีใจเมตตาต่อทุกคน
ข. พระเยซูมองเห็นอะไรในชีวิตของประชาชน
- คนที่ถูกรังควาน
- คนที่ไร้ที่พึ่ง
- พวกเขามีสภาพเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง // แกะสายตาสั้น หากินเองไม่ค่อยเป็น ป้องกันตัวได้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากขาดผู้เลี้ยง มันจะหลงทาง โหยหิว และถูกรังควานโดยศัตรู เช่น สิงโต หมาป่า หมี
- คนในยุคของเราก็มีสภาพไม่ต่างไปจากยุคของพระเยซูมากนัก
/ เขาถูกรังควานจากปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ
/ เขาไร้ที่พึ่ง หาทางออกให้ตนเองไม่ได้ พึ่งศาสนาก็ไม่ได้ พึ่งนักการเมืองก็ไม่ได้ พึ่ง NGO ก็ไม่ได้ พึ่งระบบการศึกษาก็ไม่ได้ พึ่งครอบครัวก็ไม่ค่อยได้ แล้วเขาจะพึ่งใคร !!!
ค. สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดของสังคมคือ คนของพระเจ้ามองไม่เห็นคนที่ถูกรังควานไร้ที่พึ่งเหล่านี้
- เรามักจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยด้วยความท้อใจ หรือมองแล้วก็เฉย ๆ หรือมองเห็นแค่กระเพาะของตนเอง หรือไม่ได้มองคนรอบข้างด้วยซ้ำไป
ง. ตัวอย่าง - เซลล์ชั้นยอดถูกส่งไปแอฟริกา เพื่อหาช่องทางขยายตลาดรองเท้า
คนแรกที่ถูกส่งไป โทรเลขกลับไปบริษัทแม่ว่า “ไม่ต้องส่งรองเท้ามา เพราะที่นี่ไม่มีใครใส่รองเท้าเลย” / คนที่สองถูกส่งมาอีก เขาโทรเลขกลับไปยังบริษัทแม่ว่า “รีบส่งรองเท้ามาด่วน ส่งมามากที่สุดเท่าที่จะส่งมาได้ เพราะที่นี่ยังไม่มีใครมีรองเท้าใส่เลย”
- น่าคิด / มุมมองที่แตกต่าง ทำให้เราตอบสนองอย่างแตกต่าง ถ้าเรามองประเทศไทยด้วยสายตาของพระเจ้า เราจะเห็นความต้องการที่มากมายของผู้คน เราจะมองเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำการของพระเจ้า เราก็จะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่เรามีเพื่อนำคนเหล่านี้มาถึงความรอดในพระเยซูคริสต์
ยุทธวิธีขั้นที่ 2 ปลดปล่อยคน (35ข)
ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย
ก. ทรงปลดปล่อยภายใน
- ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา เรื่องราวที่พระองค์สั่งสอน คือ สัจจธรรมของพระเจ้า เช่น มหาบัญญัติ (บัญญัติรัก), รู้จักต้นไม้ด้วยผล, พระองค์มาไถ่มนุษยชาติ เป็นต้น // สัจจธรรมมีประโยชน์ คือ ช่วยเปิดตาฝ่ายวิญญาณผู้คนให้มองเห็นความจริงแท้ฝ่ายวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า และช่วยให้เปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะคำสอนของพระองค์เต็มด้วยสิทธิอำนาจ
- ทรงประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้ประชาชนเห็นทางออกของชีวิต มีความหวัง และเปิดประตูแห่งทางรอดให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนได้กลับใจจากบาป คนหันมาหาพระเจ้า และได้รับความรอด
- การสั่งสอนและประกาศของพระเยซูนั้นแตกต่างจากผู้นำศาสนา การศึกษา และนักปราชในยุคนั้น เพราะ “ทรงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ”
มัทธิว 7:29:
เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่
มาระโก 1:22:
เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ไม่
มาระโก 1:27:
คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกันว่า “การนี้เป็นอย่างไรหนอเป็นคำสั่งสอนใหม่แน่ ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันจำต้องฟัง”
- การเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนและสังคมจะเกิดขึ้น เมื่อเราใช้พระวจนะของพระเยซูซึ่งทรงสิทธิอำนาจ เพราะพระวจนะของพระเจ้านั้นคมยิ่งกว่าดาบสองคมใด ๆ (ฮบ.4:12)
ข. ทรงปลดปล่อยภายนอก
- ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย เป็นพันธกิจที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเมตตา สงสาร และรักประชาชน พระองค์ไม่ได้ห่วงใยเพียงแค่ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ทรงห่วงใยฝ่ายร่างกายและจิตใจของทุกคนด้วย
- การรักษาโรคเป็นสัญญาลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นพระเมสสิยาห์ และเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงแผ่นดินของพระเจ้ามาตตั้งอยู่
ค. เราจะปลดปล่อยผู้คนได้อย่างไร
- เริ่มสนใจ เมตตา ปรารถดี
- สัมผัสเขาด้วยพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
- ยอมให้พระเจ้าใช้เรา เพื่อเป็นพระพรสำหรับเขา
- ปลดปล่อยเขาด้วยของประทาน ตะลันต์/ความสามารถทั้งปวงที่เราได้รับจากพระเจ้า
ยุทธวิธีขั้นที่ 3 ส่งต่อพันธกิจ (9:37-10:1)
37แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”
1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา แล้วก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้
ก. ทรงเปิดตาคน
- ให้มองเห็นความต้องการของคนอื่น ๆ
- ให้มีภาระใจในชีวิตของคนอื่น
- ให้มีสายตาของพระเจ้า (มองคนและสิ่งรอบข้างด้วยสายตาพระเจ้า)
ข. ทรงเรียกคน
- เรียกรวม ๆ คือ การเรียกร้องฝูงชน ให้รับรู้ถึงความต้องการของคนและพระเจ้า
- เรียกเจาะจง คือ การเรียกให้บางคนเข้ามารับการสร้างเพื่อจะออกไปทำเหมือนที่พระเยซูทรงทำ
ค. ทรงฝึกฝนและอบรมคน
- ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่าง
- สั่งสอน, ฝึกฝน, พัฒนา
- แก้ไขสิ่งที่บกพร่องและผิดพลาด
ง. ทรงใช้คน
- มอบงานให้
- มอบสิทธิอำนาจให้
จ. ทรงร่วมฉลองความสำเร็จของเขา
- ชมเชย
- ให้รางวัลชีวิต
- ฉลองชัย
ฉ. ทรงสัญญาที่จะให้บำเหน็จในอนาคต
สรุป
นักท่องเที่ยวอเมริกัน ไปเที่ยวแมกซิโก / คืนหนึ่งลมได้พัดปลาดาวมาตกค้างที่หาดเต็มไปหมด // เขาเห็นชาวบ้านคนหนึ่งเดินเก็บปลาดาวโยนลงทะเล /// เขาทักท้วงว่า ทำอย่างนี้เมื่อไหร่จึงจะช่วยปลาดาวได้หมด ชาวบ้านตอบว่า “อย่างน้อยผมก็ช่วยได้ตัวหนึ่ง” ว่าแล้วก็เก็บปลาดาวโยนลงทะเลต่อไป
เราอาจจะไม่สามารถพลิกโลกได้ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว แต่ถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้เราเป็นภาชนะของพระองค์ในการช่วยคนบางคนก็ขอให้ทำอย่างเต็มที่ และถ้าคริสเตียนทุกคนคิดเช่นนี้ 1 คนช่วย 3 คน คนทั้งโลกก็รอด พระเยซูก็จะกลับมาพร้อมกับบำเหน็จสำหรับทุกคน
ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ